การเลือกประเทศหรือเมืองที่จะไปเรียนต่อถือว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญควรหาข้อมูลและเตรียมความพร้อมก่อนตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศเพราะจะทำให้การไปเรียนต่อต่างประเทศมีความราบรื่น
“เลือกเมืองหรือประเทศอะไรดี แล้วต้องเตรียมอะไรบ้างน๊า”
“วันนี้ ABROADY ได้หยิบยกการเรียนต่อประเทศอเมริกามาเล่าให้ฟังค่ะ”
การเลือกประเทศหรือเมืองที่จะไปเรียนต่อถือว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญควรหาข้อมูลและเตรียมความพร้อมก่อนตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศเพราะจะทำให้การไปเรียนต่อต่างประเทศมีความราบรื่น
ไม่มีอะไรติดขัด ซึ่งน้อง ๆ หลายคนต่างมีเหตุผลที่ต่างกันออกไป เช่น ไปเมืองที่ชอบ, เมืองที่สภาพอากาศเย็นสบาย,เมืองที่เงียบสงบไม่ค่อยมีคนไทยเยอะ เหตุผลนี้ส่วนใหญ่ได้ผลดีมาก
สำหรับคนที่ต้องการฝึกภาษาอังกฤษ เพราะแทบจะไม่ได้พูดภาษาไทยเลยค่ะ บ้างก็ได้แรงบันดาลใจจากการดูภาพยนตร์หรือชอบการ์ตูนแอนนิเมชั่นเลยอยากไปเรียนต่อสายนี้โดยเลือกจากสถาบันการศึกษาเฉพาะด้านที่โดดเด่นและมีชื่อเสียง
ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี กับผู้ผลิตภาพยนตร์ในชื่อ Universal Studio, Disney Pixar , Dreamwork และ Marvel เป็นต้น ด้วยยุคสมัยนี้เทคโนโลยีแทบจะเข้ามามีอิทธิพลกับตำแหน่งงาน
อเมริกาก็ถือว่าเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอีกประเทศหนึ่งของโลก และเป็นที่ตั้งของบริษัท Apple, Microsoft , IBM อเมริกามีระบบการศึกษาที่มีมาตรฐานซึ่งมหาวิทยาลัยติด 8 อันดับจาก 10 ลำดับแรกของโลก
เมื่อจบจากสถาบันนั้น ๆ ย่อมอยู่ในลำดับต้น ๆ สำหรับการพิจารณารับเข้าทำงาน ดังนั้นน้องๆเท่านั้นจะเป็นคนกำหนดเส้นทางเดินและทำความฝันนั้นให้เป็นจริงได้
มาถึงการเตรียมตัวทั้งด้าน ภาษา เอกสาร วีซ่าและความเป็นอยู่
- ต้องเรียนภาษาอังกฤษที่ไทยไปก่อนหรือ….ไปเรียนภาษาที่นู่นดีคะ?
- แล้วเอกสารที่ต้องเตรียมมีอะไรบ้าง?
- วีซ่าใช้เอกสารอะไร?
- ที่พักโรงเรียนมีให้รึเปล่า?
การเตรียมตัวด้านภาษา หากน้อง ๆ เรียนต่อต่างประเทศระดับมหาวิทยาลัย สามารถเรียนและสอบ IELTS หรือ TOEFL ที่ไทยได้เลย
เพื่อนำไปใช้ในการสมัครเข้าศึกษาต่อสถาบันการศึกษาในอเมริกา แต่ถ้าหากคะแนนน้อง ๆ ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่สถาบันนั้น ๆ ได้กำหนดไว้ สามารถไปลงเรียนโปรแกรมการเตรียมตัวเข้าสู่มหาวิทยาลัย (Pathway) นี้ได้
ในบางสถาบันน้องนักเรียนไม่จำเป็นต้องยื่นคะแนนใด ๆ ทั้งสิ้นเพียงแต่เรียนโปรแกรมนี้จนจบโปรแกรม แล้วสามารถเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัยได้เลย สอบถามเพิ่มเติม
การเตรียมตัวด้านวีซ่า
กรอกข้อมูล (DS-160) ส่วนตัวและเป็นข้อมูลแท้จริงบน เว็บไซต์ และชำระค่าธรรมเนียมขอวีซ่าอเมริกา จองวันสัมภาษณ์เลือกสัมภาษณ์ที่กทมหรือเชียงใหม่ และเตรียมเอกสารดังต่อไปนี้
อ่านบทความ >> ขอวีซ่าอย่างไรให้ผ่านในครั้งเดียว
การเตรียมเอกสาร เตรียมให้ครบ
- Passport มีอายุเหลือไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
- I-20 ที่ทางโรงเรียนออกให้
- หนังสือรับรองทางการเงิน (Statement)
- จดหมายรับรองเงินเดือนและตำแหน่งงานของตนเอง(ถ้ามี)และผู้ปกครอง
- หนังสือรับรองการเป็น Sponsor ของผู้ปกครอง
- Transcript
- รูปถ่าย 2 x 2 นิ้ว หน้าตรง เห็นใบหูทั้งสองข้าง ฉากหลังสีขาว
- แบบฟอร์มที่ต้องใช้ยื่นขอวีซ่านักเรียน
- ใบเสร็จค่าธรรมเนียมขอวีซ่าอเมริกาและค่าธรรมเนียม SEVIS I-901
การเตรียมตัวด้านความเป็นอยู่
ที่พักโรงเรียนส่วนใหญ่มีให้เลือกหรือน้อง ๆ จะหาที่พักเองก็ได้ ไม่บังคับว่าต้องอยู่กับหอพักที่โรงเรียนจัดหาให้เท่านั้น
การเลือกที่พักต้องคำนึงถึงระยะห่างจากที่พักไปโรงเรียนใช้เวลาเท่าไหร่ ใกล้ระบบขนส่งสาธารณะหรือไม่ และมีระบบความปลอดภัยมีตลอด 24 ชั่วโมงมั้ย
“ต้องมีความพร้อมด้านใดบ้าง ก่อนไปเรียนต่อต่างประเทศ”
ต้องเตรียมตัวด้านใดบ้างก่อนไปเรียนต่างประเทศ
- ความพร้อมด้านการศึกษา การสมัครเข้าเรียนต่อในต่างประเทศ ปัจจัยสำคัญในการพิจารณารับเข้าเรียนก็คือ ผลการเรียน หรือเกรดเฉลี่ย แทบจะทุกที่ดูผลการเรียน ยกเว้นเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษ โดยเฉลี่ยเกรดเฉลี่ยมัธยมศึกษาตอนปลายอย่างน้อย 2.0
- เลือกโรงเรียน ก่อนตัดสินใจเลือกโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยต่าง ๆ นักเรียนต้องหาข้อมูลให้ละเอียด หากต้องการคำแนะนำ ABROADY พร้อมให้คำแนะนำฟรีค่ะ
- ความพร้อมทางด้านการเงิน ค่าใช้จ่ายในการเรียนต่อค่อนข้างสูง ควรคำนึงถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่จะต้องใช้ตลอดช่วงการศึกษา ไม่ใช่แค่ช่วงปีแรก
- เตรียมความพร้อมด้านภาษา โดยทั่วไปพิจารณาจากผล TOEFL หรือ IELTS นักเรียนที่ตั้งใจไปเรียนต่อต่างประเทศจึงต้องมีความพร้อมทางด้านภาษา เพราะภาษาอังกฤษที่ใช้ในการศึกษาจะเป็นภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ ที่ต่างจากการไปเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษ ที่ไม่จำเป็นต้องใช้คะแนนใด ๆ
- เตรียมของให้เรียบร้อย ไม่จำเป็นต้องเอาของไปมากมาย ที่อเมริกามีสถานที่ช้อปปิ้งราคาไม่แพง หาซื้อได้ง่าย
- ความพร้อมของสุขภาพร่างกาย นักเรียนต้องมีสุขภาพที่สมบูรณ์และแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ ศึกษาข้อมูลในเรื่องภูมิอากาศ สำหรับนักเรียนที่มีโรคประจำตัวต้องอยู่ใกล้หมอ
ต้องพิจารณาให้รอบคอบพร้อมที่จะใช้ชีวิตในประเทศอื่นหรือยัง การพักอาศัยที่มีลักษณะต่างจากเดิม ทั้งภาษา อาหาร วัฒนธรรมและใช้ชีวิตห่างจากครอบครัวและเพื่อน ทำให้เกิดความเหงา เครียดอาจมีผลกระทบกับผลการเรียนได้นะคะ“จดลิสต์ไว้เลยค่ะ ต้องพกอะไรบ้างน๊าก่อนการเดินทาง”
ควรรู้อะไรบ้างก่อนเดินทาง
- จองตั๋วเครื่องบินไว้ล่วงหน้าหลังจากพร้อมทั้งโรงเรียนและหลังสัมภาษณ์วีซ่าผ่าน และปริ้นข้อมูลตั๋วเครื่องบินหรือกดบันทึกใส่ในโทรศัพท์ไว้
- ทำประกันการเดินทางและประกันสุขภาพ
- เตรียมพาสปอร์ต, i-20, i-94 เอกสารทั้งหมดที่ทางโรงเรียนได้ส่งมาให้
- จดข้อมูลเลขที่ของที่พัก, ผู้ที่สามารถติดต่อได้ปลายทาง, เบอร์โทร
- ศึกษาข้อมูลเส้นทางจากสนามบินไปยังที่พัก กรณีนี้สำหรับน้อง ๆ ที่เดินทางไปที่พักด้วยตนเอง
- โหลด Taxi Application เช่น UBER หรือ Lyft เพื่อเรียกให้มารับในสนามบิน (กรณีนี้น้องต้องทราบที่อยู่ปลายทางที่แน่นอน ใส่ที่อยู่ลงในแอพ เพื่อแอพจะคำนวณราคาให้ก่อนกดตกลงเรียกใช้บริการ)
- เปิดใช้เบอร์โทรศัพท์ในประเทศที่น้อง ๆ เดินทางไปเผื่อไว้ใช้ติดต่อคนที่มารับ สนามบินมี wifi ให้ใช้ฟรี แต่ด้วยคนจำนวนมากอาจทำให้สัญญาณไม่ค่อยดีเท่าไหร่
- แลกเงินดอลล่าร์พกติดไว้ใช้ประมาณนึงระหว่างเดินทาง
- เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักเรียนที่ไปเรียนต่อเมืองที่สภาพอากาศที่ค่อนข้างหนาวหรือมีหิมะตก เสื้อกันหนาวหรือเสื้อตัวหนา ๆ นี้สำคัญ
- ยารักษาโรค ให้เตรียมไปด้วย เช่น ยาแก้ปวด ลดไข้ ยารักษาอาการเบื้องต้น เนื่องด้วยราคายาที่อเมริกาค่อนข้างสูง ประกอบกับการซื้อยารักษาโรคเองในอเมริกาต้องมีใบสั่งยาเท่านั้น ถึงจะสามารถไปซื้อยาที่ร้านขายยาได้ แต่มียาบางตัวที่อเมริกาห้ามนำเข้าประเทศต้องเช็คข้อมูลให้ดี
- ประโยคภาษาอังกฤษเบื้องต้นใช้ในกรณีคนขับรถสอบถามเพิ่มเติม,สั่งอาหารหรือ สอบถามเส้นทางคนในพื้นที่เมื่อหลงทาง
“เห็นไหมคะ ว่าเราต้องเตรียมและหาข้อมูลทุกอย่างให้พร้อม ไม่งั้นจะปวดหัวเอาได้ค่ะ”
ใช้ปัจจัยอะไรในการเลือกประเทศ และเมืองที่จะไปเรียน
- “ปัจจัยอะไรบ้างมีผลในการเลือกประเทศเป้าหมาย?”
- “ระบบการศึกษาของอเมริกาเป็นแบบไหนกันน้า?”
- “สภาพอากาศหนาวกว่าที่ไทยไหม…เค้าใส่เสื้อกันหนาวช่วงเวลาไหนกัน?”
- จุดหมายปลายทาง (Destination) ที่อยากไป แนะนำให้เลือกเมืองที่อยากไป มา 2-3 ที่และดูข้อดีข้อเสีย ประกอบกับต้องสอดคล้องกับเหตุผลที่น้อง ๆ อยากไปเพราะ อยากเรียนอะไร ที่ไหน เปิดสอนในเมืองนั้นหรือไม่ และแน่นอนสิ่งที่ต้องเจอ นั่นคือ Homesick ด้วยระยะทางที่ห่างไกลและเวลาที่ต่างกัน จึงอยากให้น้อง ๆ ศึกษาเมืองที่อยากไปและตัดสินใจด้วยตนเองหากไม่ชอบเมืองที่ผู้คนหรือคนไทยเยอะ ให้ไปเมืองที่ห่างไกลจากศูนย์กลางออกไป แต่หากกลัวเหงาก็ให้เลือกไปเมืองท่องเที่ยวและที่มีกิจกรรมแน่น ๆ ตลอดทั้งปี
- งบประมาณค่าเรียนและค่าครองชีพ (Tuition Fee and Cost of living) เพราะแต่ละรัฐของอเมริกาภาษีจะไม่เท่ากัน เหตุผลนี้สำคัญเป็นอันดับต้น ๆ สำหรับบางคน นอกจากมีค่าเทอมและยังมีค่าที่พัก, ค่ารถประจำทาง และค่าอาหารอีกด้วย จึงต้องมีการคำนวณเผื่อไว้
- สาขาวิชา (Major) หรือโรงเรียนเฉพาะทาง (Specialty) ที่น้อง ๆ อยากเรียน ในแต่ละรัฐของอเมริกา จะมีสาขาหรือสอนเฉพาะทางแตกต่างกันไป ยกตัวอย่าง เช่น
- ได้รับขนานนามเมืองแห่งการศึกษา ก็จะเป็น Boston
- หากเรียนด้านภาพยนตร์, ศิลปะการแสดง, 3D Animation ก็จะเป็นเมือง Los Angeles และ New York
- ด้านเทคโนโลยี จะมีบริษัท apple ตั้งอยู่ที่ San Francisco เป็นต้น
- เพราะอเมริกามีมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับ (Ranking) Top 10 ของโลก ใน 10 อันดับนั้นอเมริกาก็คว้าไปแล้ว 8 ลำดับ ด้วยระบบการศึกษาที่ดีและมีประสิทธิภาพติดระดับโลก (Education System)และใคร ๆ ก็อยากเรียน ตามที่จบจากมหาวิทยาลัยเหล่านี้ แน่นอนได้เครดิตจากชื่อสถาบันและได้รับการพิจารณารับเข้าทำงานเป็นอันดับต้น ๆ เลยค่ะ
- ฝึกและเรียนภาษาเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษของตนเอง (Improve) เพื่อสอบเรียนต่อระดับที่สูงขึ้นไป, เพื่อการเติบโตในหน้าที่การงาน เช่น ทำงานในสภาพแวดล้อมที่พูดและใช้ภาษาอังกฤษ
- วัฒนธรรมและประเพณีของอเมริกาจะมีความแตกต่างกันกับไทย น้อง ๆ อาจจะพบกับ Culture Shock ด้านวัฒนธรรมในประเทศสหรัฐอเมริกา เช่น เจอหน้ากับคนรู้จักครั้งแรก ก็ทักทายกันได้, ความตรงต่อเวลานี้สำคัญมากสำหรับคนอเมริกัน, ไปทานร้านอาหารที่ใดก็แล้วแต่ธรรมเนียมหลังการจ่ายตังค์ค่าอาหารต้องมีการให้ทิปพนักงาน 10 – 20% แต่ก็ขึ้นอยู่กับการให้บริการของพนักงานด้วยค่ะ ไม่จำเป็นต้องให้ 20% เสมอไป วัฒนธรรมต่าง ๆ ที่รู้ไว้ก่อนย่อมดี มีความเข้าใจ หากเรายอมรับได้ เราจะได้ไม่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เหมือนกับคำที่เค้าว่าไว้ “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม”
ศึกษาประเทศและเมืองคร่าวๆ ระบบการศึกษาอเมริกาประเทศอเมริกาถือว่าเป็นศูนย์กลางหลาย ๆ ด้านของโลก ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ การค้าและการศึกษา ควบคุมการเรียนการสอนโดยหน่วยงานของแต่ละรัฐ ไม่ขึ้นกับรัฐบาลกลาง อเมริกามีเทคโนโลยีใหม่ ๆ, มหาวิทยาลัยติดอันดับโลกและมีเนื้อหาการเรียนที่ทันสมัย ไม่น่าแปลกใจเลยที่นักเรียนต่างชาติต้องการไปเรียนต่อที่อเมริกา โครงสร้างการศึกษาของอเมริกาแบ่งได้ดังนี้
- ระดับอนุบาล (Kindergarten)
- ระดับประถมศึกษา (Elementary School)
- ระดับมัธยมศึกษา (Secondary School)
- ระดับอุดมศึกษา แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่
- วิทยาลัยชุมชน (Community College)
- Transfer Track เรียนวิชาพื้นฐาน 2 ปีแรกของระดับมหาวิทยาลัย เมื่อเรียนจบโอนหน่วยกิตไปยังมหาวิทยาลัยรัฐหรือเอกชน เพื่อเรียนต่อในระดับชั้นปีที่ 3
- Terminal/Vocational Track เรียน 2 ปี เป็นสายวิชาชีพ เรียนจบได้รับใบอนุปริญญา
- วิทยาลัย (Colleges) หลักสูตรเรียน 4 ปี สำเร็จแล้วได้ปริญญาตรี
- มหาวิทยาลัย (University) เปิดสอนระดับปริญญาตรี (4 ปี), ปริญญาโท (1-2 ปี)และปริญญาเอก (4 ปี)
- สถาบันทางวิชาชีพ เป็นสถาบันวิชาชีพชั้นสูง เช่น แพทยศาสตร์ หรือ กฎหมาย เป็นต้น โดยปกตินักเรียนจะเข้าศึกษาหลังจากจบปริญญาตรีมาแล้ว
- วิทยาลัยชุมชน (Community College)
สำหรับการแบ่งภาคการศึกษาแต่ละเทอมการศึกษา (Semester)
- Fall Semester ช่วงประมาณเดือนกันยายน – ธันวาคม
- Spring Semester ช่วงประมาณมกราคม – เมษายน
- Summer Semester ช่วงประมาณพฤษภาคม – สิงหาคม
ไลฟสไตล์ของคนอเมริกันคนอเมริกันจริงจังกับการตรงต่อเวลามากๆ และมี Life Style ใช้ชีวิตค่อนข้างเร่งรีบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมือง Los Angeles หรือ New York ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ คนอเมริกันจะเที่ยวกันแบบจริงจังมาก ๆ ค่ะ
เพราะถือว่าเป็นวันพักผ่อนจริง ๆ กิจกรรมที่ทำช่วงสุดสัปดาห์ ส่วนใหญ่ ขับรถออกนอกเมืองบ้าง ไปแคมปิ้ง นอนอาบแดด เล่นเซิร์ฟบอร์ดที่ชายหาด เที่ยวอุทยาน เดินป่า ปีนเขา หรือ บางกลุ่มก็ช้อปปิ้ง นั่งคุยจิบชายามบ่าย
และอีกกิจกรรมที่คนอเมริกันให้ความสำคัญก็คือกีฬา ไม่ว่าจะเป็น บาสเก็ตบอล,เบสบอล, อเมริกันฟุตบอล เป็นต้น ถือว่าเป็นประเทศที่มีกิจกรรมน่าสนใจให้เลือกเยอะแยะมากมายเลยทีเดียว
อากาศภูมิอากาศในสหรัฐอเมริกา ค่อนข้างหลากหลายด้วยความเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ มี 4 ฤดู
- ฤดูร้อน หรือ Summer อยู่ในช่วงเดือนมิ.ย. – ส.ค. กิจกรรมที่ผู้คนส่วนใหญ่คือ Hiking ,ไปชายหาด อาบแดด, เล่นกระดานโต้คลื่น
- ฤดูใบไม้ร่วง หรือ Fall ช่วงเดือน ก.ย. – พ.ย. ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี สวยงาม เหมาะมากสำหรับผู้ที่ชอบถ่ายรูป เก็บความรู้สึก และได้อีกมุมมองของภาพ ในแต่ะสถานที่ที่ไป
- ฤดูหนาว หรือ Winter ช่วงเดือน ธันวาคม – กุมภาพันธ์ ทางด้านเหนือสุด หนาวจัดหิมะตกหลายเดือน แถบที่อากาศอบอุ่นจะเป็น รัฐ California ,Florida และ Arizona
- ฤดูใบไม้ผลิ หรือ Spring จะอยู่ในช่วงเดือน มีนาคม – พฤษภาคม เกือบทุกเมืองในอเมริกา ในช่วงที่เปลี่ยนฤดูสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามแปลกตาไปคนละแบบ ไม่แปลกเลยที่อเมริกาเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวตลอดทั้งปี
**USA Daylight Saving Time อเมริกาอยู่ใกล้ ขั้วโลกเหนือ การขึ้นของดวงอาทิตย์จึงมีการเปลี่ยนไปในแต่ละฤดู จึงต้องมีการเปลี่ยนเวลาให้สอดคล้องกับการขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ โดยเฉพาะช่วง Summer (Forward 1 hour) และ ช่วง Winter (Back 1 hour)
ยกตัวอย่าง น้องเอ็ม เรียน Extension ที่ University of California, Los Angeles (UCLA) โปรแกรม Entertainment Studies น้องเอ็มสนใจการเต้น การแสดง การละคร มากกว่าสายที่เรียนจบมา จึงมีความคิดที่จะสานฝันต่อ น้องเอ็มได้กล่าวว่า
“เรียน Certificate Program ของ UCLA Extension สามารถต่อยอดได้ เพราะเมื่อเรียนจบมีโปรแกรม OPT ก็คือ Optional Practical Training นักเรียนต่างชาติที่มาด้วยวีซ่านักเรียนสามารถใช้เวลา 1 ปีหลังจบหลักสูตร ทำงานฝึกงานที่นี่ได้อย่างถูกกฎหมาย เหมือนเป็นการเปิดประตูให้ตัวเองเข้าไปสู่วงการของตัวเอง ทำงานจริงกับคนอเมริกันจริง ๆ ”
เห็นมั้ยคะ มาถึงขนาดนี้ ในเมื่อมีโอกาสแล้วเราจะปล่อยให้หลุดมือไปง่ายดายจริง ๆ หรอ!!
“ไม่เก่งภาษาไปเรียนต่างประเทศได้มั้ย”
หากน้อง ๆ กังวลว่า ภาษาไม่ได้ ไปเรียนที่ต่างประเทศไม่ได้หรอก!! ให้เปลี่ยนความคิดใหม่นะคะ เพราะภาษาอังกฤษไม่ได้เป็นภาษาแม่ของเรา ทุกอย่างเกิดจากการเรียนรู้ อีกอย่างโปรแกรมเรียนภาษาอังกฤษไม่มีการกำหนดคะแนนเพื่อเข้าเรียนในโปรแกรมนี้
แต่จะมีการทดสอบเพื่อจัดระดับของภาษาของน้อง ๆ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และการเรียนการสอนจะเป็นไปอย่างราบรื่นและพัฒนาดีขึ้นตามลำดับ แต่หากต้องการเรียนในวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัย แน่นอนภาษาอังกฤษน้อง ๆ ต้องดีระดับนึงเลยค่ะ เพราะมีการกำหนดคะแนนสอบ IELTS และ/หรือ TOEFL ให้ได้ตามเกณฑ์ของแต่ละสถาบันการศึกษากำหนด เพราะในชั้นเรียนเป็นการเรียนทางวิชาการและเรียนร่วมห้องกับนักเรียนชาวอเมริกัน
ตัวอย่างhttps://youtu.be/Rhrux4gIp0w
พี่ดุล เคยทำอาชีพเภสัชกรที่ไทย และได้ตัดสินใจมาเรียนภาษาอังกฤษที่เมือง Los Angeles ได้เล่าให้กับ ABROADY ฟังว่า “มาถึงที่อเมริกาภาษาอังกฤษก็เหมือนเด็กไทยทั่วไป ที่เรียนมาไม่รู้กี่สิบปีก็ยังพูดไม่ได้ซักที ก็ได้แค่นิด ๆ หน่อย ๆ แต่พอเห็นคนต่างชาติก็จะไม่กล้า”
แต่ภาษาอังกฤษของพี่ดุลได้พัฒนาดีขึ้นเพราะการได้ใช้และพูดคุยภาษาอังกฤษทุกวันกับเพื่อน ๆ ในชั้นเรียน ที่เห็นได้ชัดขึ้น ทำให้มีความกล้าที่จะคุยกับฝรั่งมากขึ้น ยิ่งได้ใช้ในสถานการณ์จริงยิ่งทำให้เราจำแม่นและสมองจะโต้ตอบได้อัติโนมัติเองเลยล่ะค่ะ
“ไม่เก่งภาษาก็ไปเรียนต่างประเทศได้”
It’s Your Turn>> ถึงเวลาของ น้องๆแล้วในเรื่องของการสมัครเรียนหรือการสมัครวีซ่า แค่เพียงคลิ๊กเดียวที่ ABROADY มีทีมงานคุณภาพพร้อมให้คำปรึกษาในทุก ๆ เรื่องและนำเสนอโปรแกรมได้ตรงใจและความต้องการของน้อง ๆ ที่แท้จริง ไม่หลงทาง ไปเรียนต่อที่อเมริกากันค่ะ
ท้าทายความสามารถของตัวเองและเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ต้องไปสัมผัสกันด้วยตัวเอง เพื่ออนาคตที่สดใสและโลกการเรียนรู้แห่งใหม่นอก comfort zone
ไม่อยากเสียโอกาสแล้ว Click >> สมัครเลย
พร้อมแล้วสมัครเลย
“เรียนต่อต่างประเทศได้อะไรมากว่าที่คุณคิด รู้แบบนี้แล้ว ไปหาโปรแกรมเรียนกันเลยคะ”
รู้แบบนี้แล้วรอช้าอยู่ใย รีบตามหาโปรแกรมที่ใช่ ประเทศที่โดน แล้วไปพัฒนาศักยภาพในตัวกันเลยค่ะ พี่ๆ ABROADY ได้แนบลิ้งค์เพื่อให้น้อง ๆ พี่ ๆ ได้เข้าไปเพื่อสามารถเช็ค
โปรแกรม ประเทศ และราคาด้ด้วยตัวเองด้านล่างนี้ พร้อมสามารถกดจองโปรแกรมที่สนใจไว้ได้เลย หากมีข้อสงสัยด้านการไปเรียนต่อต่างประเทศสอบถามทีมงาน ABROADY ได้ตลอดเวลาคะ